ALLY REIT เตรียมงบ 670 ล้านบาท ขยายพอร์ตศูนย์การค้า ผลประชุมไฟเขียวลงทุนเพิ่ม "เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์" และ"กาดฝรั่ง วิลเลจ"
ผู้ถือหน่วยกองทรัสต์ ALLY โหวตฉลุยอนุมัติให้เข้าลงทุนเพิ่มในโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ "เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์" และรับทราบการเข้าลงทุนใน "กาดฝรั่ง วิลเลจ" มูลค่ารวมไม่เกิน 670 ล้านบาท “กวินทร์” มั่นใจเดินหน้าลงทุนโครงการที่มีศักยภาพ เพิ่มแหล่งรายได้ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์
นายกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.อี.รีท แมเนจเมนท์ จำกัด (ในเครือ เคอี กรุ๊ป) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์อัลไล (ALLY) เปิดเผยผลการประชุมสามัญผู้ถือหน่วยทรัสต์ ประจำปี 2564 ว่าที่ประชุมมีมติอนุมัติการเข้าลงทุนทรัพย์สินเพิ่มเติมในโครงการเดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์ มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 280 ล้านบาท และรับทราบการเข้าลงทุนในโครงการกาดฝรั่ง วิลเลจ มูลค่าลงทุนไม่เกิน 390 ล้านบาท ซึ่งเข้าลงทุนแล้วเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยหลังจากเข้าลงทุนเพิ่มเติม 2 โครงการนี้แล้ว ALLY จะกลายเป็นเจ้าของพอร์ตศูนย์การค้าประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ วัดจากมูลค่าทรัพย์สินรวมที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งหมด 12 โครงการ และพื้นที่ขายกว่า 156,000 ตารางเมตร
นายกวินทร์ กล่าวว่า เรายังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตและหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์ โครงการเดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์ และโครงการกาดฝรั่ง วิลเลจ ทำให้เราได้ขยายไปยังทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ ย่านชัยพฤกษ์ในจังหวัดนนทบุรี และอำเภอหางดงในจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ทั้ง 2 โครงการมีการเติบโตด้านอัตราการเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่องจน ณ ปัจจุบันที่ 85% และ 88% ซึ่งถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่มีโรคระบาด COVID-19 ก็ยังรักษาผู้เช่าได้ดี และสามารถเพิ่มร้านค้าใหม่ๆ เข้ามาได้อีกด้วย ที่ปรึกษาการเงินอิสระได้ประเมินว่า กองทรัสต์ ALLY จะมี EBITDA เพิ่มขึ้น 2.9% ในปีแรก หลังจากการเข้าลงทุนใน 2 โครงการนี้
นอกเหนือจากนี้แล้ว กองทรัสต์ ALLY ยังมีแผนที่จะขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำกัดการลงทุนเพียงทรัพย์สินประเภทศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เท่านั้น แต่เล็งหาโครงการออฟฟิศ ตลาด โกดัง และพื้นที่พาณิชย์อื่นๆ ที่มีศักยภาพ และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยตอนนี้ได้รับความสนใจจากเจ้าของทรัพย์สินที่อยากนำโครงการของตนเองเข้ามาระดมทุนผ่านกองทรัสต์นี้
“จุดแข็งของ ALLY เมื่อเทียบกับกองทรัสต์อื่น คือการที่มีทีมผู้บริหารโครงการในเครือ (Property Manager) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแพลตฟอร์มระดับสากล ซึ่งนำมาใช้ในการบริหารงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยที่ผ่านมา 4 โครงการ ก็สามารถเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายหลังจากที่ ALLY ได้เข้าไปลงทุนแล้ว” นายกวินทร์กล่าว
สำหรับผลดำเนินงานปี 2563 กองทรัสต์ ALLY มีรายได้ทั้งหมด 1,132.52 ล้านบาท กำไรจากการลงทุนสุทธิอยู่ที่ 434.43 ล้านบาท และมีอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 0.4350 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 7.3% (อ้างอิงราคาตลาด ณ สิ้นปี 2563) ซึ่งสูงกว่ากองทรัสต์อื่นๆ ที่ลงทุนในทรัพย์สินประเภทศูนย์การค้า